ฉีดฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ คืออะไร?

สิ่งที่ควรรู้ก่อนการตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์

เมื่ออายุเพิ่มขึ้น การะบวนการในการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว เริ่มมีประสิทธิภาพลดน้อยลง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักในการเกิดริ้วรอย ร่องลึกที่เกิดขึ้นตามวัย ฟิลเลอร์จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการแก้ไขปัญหาการปรับรูปหน้าได้อย่างตรงจุด ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและชัดเจน จึงค่อนข้างเป็นที่นิยมในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ดังนั้นเราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับการใช้ฟิลเลอร์ในการปรับรูปหน้า หรือแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆไว้ในบทความนี้ เพื่อให้คนที่กำลังตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ได้รู้ข้อมูลก่อนการตัดสินใจ

          ฟิลเลอร์คือ การฉีดสารเติมเต็มผิวด้วยสารไฮยาลูโรนิคเอซิด (Hyaluronic Acid) หรือที่เรียกกันว่า HA เพื่อช่วยเติมเต็มใบหน้า เสริมชั้นผิวหนังและใต้ผิวหนัง จะช่วยกักเก็บน้ำให้แก่ชั้นผิว เติมเต็มช่องว่างให้กับเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวเกิดความยืดหยุ่น เต่งตึง เรียบเนียน ปราศจากริ้วรอย เราจะใช้ฟิลเลอร์ในการเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก ที่เกิดขึ้นตามจุดต่างๆบนใบหน้า ทำให้ริ้วรอยร่องลึกดูตื้นขึ้น รักษาแผลเป็นจากสิว หรืออาจจะฉีดที่ปากเพื่อให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม คนไข้ที่มีอายุมากขึ้น สาเหตุที่ทำให้คอลลาเจนลดลง สามารถใช้ฟิลเลอร์ในการแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ฟิลเลอร์แท้สามารถสลายไปเองตามธรรมชาติและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

ปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

ฟิลเลอร์แบ่งได้กี่ประเภท

การฉีดฟิลเลอร์เข้าสู่ผิวหนังมีหลายประเภท บางประเภทให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานและบางประเภทก็ให้ผลลัพธ์แค่ชั่วคราว หากทำจากสารที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ ซึ่งแต่ละชนิดมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน สามารถแบ่งชนิดของฟิลเลอร์ได้ 3 ประเภทหลักๆ

1.Temporary Dermal Filler (แบบชั่วคราว)
ฟิลเลอร์ (Filler) ที่มีความคงตัวนานในร่างกายประมาณ 8 – 12 เดือน ฟิลเลอร์ชนิดนี้ทำการสกัดคอลลาเจนจาก Bovine (วัว) ดังนั้นผู้ที่ต้องการใช้ฟิลเลอร์ชนิดนี้จะต้องทำการทดสอบก่อนว่าแพ้สารที่มีอยู่ในวัวหรือไม่ เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการแพ้สารจากวัว ฟิลเลอร์ชนิดนี้ ได้แก่ Zyderm, Zyplast ซึ่งจัดว่าเป็นฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติเป็นคอลลาเจนที่มาจากธรรมชาติ ปัจจุบันฟิลเลอร์ชนิดนี้ไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากเมื่อเกิดอาการแพ้แล้ว จะมีอาการรุนแรง เป็นอันตรายสูง

2. Semi – Permanent Dermal Filler (แบบกึ่งถาวร)
ฟิลเลอร์ ชนิดกึ่งถาวรที่ทำการเติมเต็มด้วยการฉีด อยู่ในกลุ่มของ Hyaluronic Acid (HA) เช่น Restylane, Juvederm, Hylaform เป็นต้น ทำการสังเคราะห์จากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส (Streptococcus) ซึ่งสารที่สกัดได้นี้จะมีคุณสมบัติที่สามารถช่วยรักษาน้ำที่มีอยู่ในผิว ส่งผลให้ผิวมีความชุ่มชื้นและเต่งตึงกระชับมากขึ้น เมื่อฉีดแล้วมีกระจายตัวไปยังบริเวณข้างเคียง สามารถอยู่ในร่างกายได้ประมาณ 2 ปี เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายแล้วฟิลเลอร์จะมีความปลอดภัย มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้น้อย ทางคลินิกจึงนิยมใช้ฟิลเลอร์ชนิดนี้กันอย่างแพร่หลาย

3. Permanent Dermal Filler (แบบถาวร)
ฟิลเลอร์แบบถาวร เป็นสารเติมเต็มพวก ซิลิโคลน หรือ พาราฟิน หลังฉีดไปแล้วผิวจะไม่สามารถดูดซึมฟิลเลอร์ชนิดนี้ได้ ทำให้คงค้างอยู่ในชั้นผิวของเรา โดยไม่สามารถสลายไปตามธรรมชาติ มีผลข้างเคียงในระยะยาว เช่น ฟิลเลอร์ไหล ฟิลเลอร์ย้อย ฟิลเลอร์ผิดรูป ในประเทศไทยฟิลเลอร์ชนิดนี้ยังไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้ามาใช้ในการศัลยกรรมได้ เนื่องจากยังไม่ผ่านมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาภายในประเทศ

ฟิลเลอร์เหมาะกับใคร

• ผู้ที่มีปัญหาต้องการปรับรูปหน้าให้ได้รูป มีมิติ

• ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยร่องลึก บริเวณต่างๆ

• ผู้ที่ต้องการย้อนวัยอย่างเป็นธรรมชาติ เห็นผลไว ไม่ต้องพักฟื้น

• ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาถุงใต้ตา ร่องใต้ตาลึก ใต้ตาคล้ำ

• ผู้ที่ต้องการแก้ไขริมฝีปากไม่ได้รูป ริมฝีปากบาง ให้ดูอวบอิ่ม

• ผู้ที่มีปัญหาเรื่องรูขุมขน หลุมสิวบนใบหน้า

• ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวหน้าให้กลับมาคงความอ่อนเยาว์ สดใส เปล่งปลั่ง

ฟิลเลอร์ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง แต่ละจุดต้องใช้ฟิลเลอร์กี่ cc ?

บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์มีอยู่หลายจุด ซึ่งแต่ละจุดขึ้นอยู่กับโครงสร้างใบหน้าของคนไข้ และแพทย์จะเป็นคนประเมินว่าคนไข้แต่ละคนใช้ปริมาณฟิลเลอร์เท่าไหร่ ดังนี้

ฟิลเลอร์ใต้ตา

          การฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตาเพื่อแก้ไขปัญหารอยคล้ำรอบดวงตา ร่องใต้ตาลึก ใต้ตาโบ๋ ปรับเปลี่ยนรูปหน้าที่ดูเหนื่อยล้า ให้ดูสดใส คืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้า ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้โดยเฉลี่ยประมาณ 1 – 2 cc/ข้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาโครงสร้างใบหน้าของคนไข้แต่ละบุคคล

คลิกที่นี่

อ่านบทความเพิ่มเติมแบบเจาะลึกของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

คลิกที่นี่

อ่านบทความเพิ่มเติมแบบเจาะลึกของการฉีดฟิลเลอร์ปาก

ฟิลเลอร์ปาก

การฉีดฟิลเลอร์บริเวณริมฝีปากเพื่อแก้ไขปัญหาริมฝีปากบาง มีริ้วรอยบริเวณริมฝีปาก ขอบปากไม่ชัด ปากแห้งปากไม่เท่ากัน หรือคนไข้ที่มีความกังวลแต่ไม่อยากทำการผ่าตัด ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้โดยเฉลี่ยประมาณ 1 – 2 cc ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาโครงสร้างใบหน้าของคนไข้แต่ละบุคคล

ฟิลเลอร์คาง

การฉีดฟิลเลอร์บริเวณคางเพื่อแก้ไขปัญหาของคนไข้ที่มีใบหน้ากลม คางสั้น คางเบี้ยว คางบุ๋ม คางไม่เท่ากัน การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น หวานขึ้น ใบหน้าดูสมส่วนมากยิ่งขึ้น นอกจากได้ใบหน้าที่เรียวได้รูปแล้ว ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้โดยเฉลี่ยประมาณ 1 – 2 cc ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างใบหน้าของคนไข้แต่ละบุคคล

คลิกที่นี่

อ่านบทความเพิ่มเติมแบบเจาะลึกของการฉีดฟิลเลอร์คาง

คลิกที่นี่

อ่านบทความเพิ่มเติมแบบเจาะลึกของการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

          การฉีดฟิลเลอร์บริเวณร่องแก้มเพื่อแก้ไขปัญหาคนไข้ที่มีความกังวลใจเวลายิ้ม ซึ่งพบได้ในทุกช่วงอายุ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ใบหน้ามีอายุก่อนวัยอันควร คนไข้สูญเสียความมั่นใจ การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้าได้ เพื่อคืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้า ทำให้หน้าดูเด็กกว่าวัยอย่างชัดเจน ดูเป็นธรรมชาติ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้โดยเฉลี่ยประมาณ 1 – 2 cc /ข้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างใบหน้าของคนไข้แต่ละบุคคล

ฟิลเลอร์ขมับ

          การฉีดฟิลเลอร์บริเวณขมับเพื่อแก้ไขปัญหาคนไข้ที่มีโหนกแก้มสูง นูนใหญ่กว่าที่ควร จึงทำให้ใบหน้าดูหย่อนคล้อยและทำให้ใบหน้าดูมีอายุ ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ ทำให้โหนกแก้มดูลดลง ใบหน้าดูเรียวสมส่วนและดูอ่อนกว่าวัย เพิ่มความมั่นใจให้กับคนไข้มากยิ่งขึ้น อยู่ได้นานถึง 1 – 2 ปี ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้โดยเฉลี่ยประมาณ 1 – 2 cc/ข้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างใบหน้าของคนไข้แต่ละคน

คลิกที่นี่

อ่านบทความเพิ่มเติมแบบเจาะลึกของการฉีดฟิลเลอร์ขมับ

คลิกที่นี่

อ่านบทความเพิ่มเติมแบบเจาะลึกของการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

ฟิลเลอร์หน้าผาก

          การฉีดฟิลเลอร์บริเวณหน้าผากเพื่อแก้ไขปัญหาคนไข้ที่มีหน้าผากแบน ไม่มีมิติ การแก้ไขด้วยฟิลเลอร์เป็นตัวช่วยในการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนที่ดีขึ้น ซึ่งปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้โดยเฉลี่ยประมาณ 1 – 2 cc สำหรับคนไข้บางรายที่มีหน้าผากยุบแบนมากๆ ก็อาจจะต้องใช้ปริมาณที่มากขึ้น 3 – 5 cc ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างใบหน้าของคนไข้แต่ละบุคคล

ฟิลเลอร์แก้มตอบ

          ปัญหาแก้มตอบเกิดจากภาวะแก้มยุบตัวลงเป็นแอ่งเล็กๆบนใบหน้า ไม่ว่าจะเกิดจากการลดน้ำหนักหรือเป็นที่ตัวคนไข้เองที่ไม่มีเนื้อแก้มอยู่แล้ว ก็จะทำให้ใบหน้าดูโทรมและดูแก่กว่าวัยอันควร การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบเป็นการฉีดสารไฮยาลูรอนิคเอซิด (HA) ซึ่งเป็นสารที่มีความคงตัวสูง เข้าไปเติมเต็มในบริเวณแก้มที่หายไป จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่หลายคนนิยมเลือกใช้กัน เพราะแก้มเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญบนใบหน้าที่จะช่วยทำให้คนไข้ดูสวย สดใส สุขภาพดี มีน้ำมีนวล และคืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้า การเติมแก้มตอบจะช่วยให้ร่องแก้มดูตื้นขึ้น และอยู่ได้นาน 1 – 2 ปี ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้โดยเฉลี่ยประมาณ 1 – 2 cc/ข้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาโครงสร้างใบหน้าของคนไข้แต่ละคน

คลิกที่นี่

อ่านบทความเพิ่มเติมแบบเจาะลึกของการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ

การฉีดฟิลเลอร์อันตรายหรือไม่

การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน มีหลายยี่ห้อ หลายรุ่น แต่มีฟิลเลอร์เพียงชนิดเดียวที่มีปลอดภัยที่สุดและผ่านการรับรอง คือ Hyaluronic Acid (HA) สารเติมเต็มที่ได้รับการรับรองโดยองค์การอาหารและยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ FDA ได้อนุมัติว่าเป็นสารที่มีความปลอดภัย นิยมใช้ในวงการแพทย์และด้านความงามอย่างแพร่หลาย ฉีดแล้วสามารถสลายไปได้หมด 100% และต้องฉีดด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง โดยแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญ มีความปลอดภัยสูง จุดประสงค์ของการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อการเติมเต็มข้อบกพร่องบริเวณใบหน้า เมื่อฟิลเลอร์เข้าสู่ร่างกายจะดูดซับน้ำจากภายในร่างกาย และขยายทำให้บริเวณที่ถูกฉีดดูเต็มขึ้น

ฟิลเลอร์แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ แม้จะเป็น Hyaluronic Acid เหมือนกัน แต่เนื่องด้วยเทคโนโลยีและขั้นตอนวิธีการผลิตที่แตกต่างกัน จึงทำให้เกิดคุณสมบัติทางกายภาพที่แตกต่างกัน ฟิลเลอร์แต่ละรุ่นเหมาะกับการใช้ฉีดในจุดต่างๆของใบหน้าไม่เหมือนกัน ซึ่งโดยปกติเมื่อเราไปพบแพทย์เพื่อฉีดฟิลเลอร์ แพทย์ก็จะเป็นผู้แนะนำว่าผิวของเราเหมาะกับฟิลเลอร์รุ่นไหน ยี่ห้อไหน ซึ่งส่วนนึงก็ขึ้นกับความถนัดของแพทย์หรือเทคนิคการฉีดของแพทย์แต่ละท่านด้วย ฟิลเลอร์ในทางการแพทย์ จะหมายถึงการฉีดสารเติมเต็มซึ่งในต่างประเทศแบ่งออกได้ 4 ประเภท ดังนี้

    1. HA (Hyaluronic Acid) ปลอดภัย100% สลายหมด ไม่มีสารตกค้าง มีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก
    2. Collagen จากสัตว์ ปัจจุบันไม่นิยมใช้เนื่องจากมีอาการแพ้ฟิลเลอร์ บวมแดงได้ง่าย
    3. Transplanted Fat หรือการเติมไขมัน จะเหมาะกับคนที่ต้องการฉีดครั้งละมากๆ 10 – 20 CC
    4. Biosynthetic Polymers เป็นกลุ่มของซิลิโคนเหลว ไม่สลาย ไม่ปลอดภัยและไม่ผ่านอย.

อันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์

  1. ฟิลเลอร์ปลอม ส่วนใหญ่มักเจอจากการฉีดกับหมอกระเป๋า หรือหมอที่ไม่ชำนาญด้านการฉีดฟิลเลอร์และไม่ทราบถึงวิธีการตรวจสอบว่าเป็นฟิลเลอร์แท้หรือปลอม หากฉีดฟิลเลอร์ปลอมเข้าไปช่วงแรกๆจะรู้สึกเหมือนปกติ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะพบว่าฟิลเลอร์ไม่สลาย และจับเป็นก้อน กลายเป็นซิลิโคนเหลวที่เกาะแน่นอยู่กับกระดูก หรืออาจจะไหลไปมาบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าผิดรูปไปเลยก็ได้ หากต้องการสลายจะต้องใช้วิธีการผ่าตัดขูดซิลิโคนออกเท่านั้น
  2. ติดเชื้อจากการฉีดฟิลเลอร์ จากการใช้อุปกรณ์และเครื่องมือการแพทย์ที่ไม่สะอาด เลือกคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน จะทำให้บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์มีอาการอักเสบ บวมแดง และเขียวช้ำมากกว่าปกติ
  3. ไม่ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีการอวดอ้างสรรพคุณเกินความจริง ว่าฟิลเลอร์ที่ฉีดนั้นเป็นแบบกึ่งถาวร หรือเป็นฟิลเลอร์ที่สามารถอยู่ได้นานเกินกว่า 5 ปี เพราะเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถสลายเองได้ ฟิลเลอร์หากอยู่ใต้ผิวหนังเป็นระยะเวลานานเกินไป อาจจะมีการเคลื่อนตำแหน่งไปยังจุดอื่นบนใบหน้าได้ เมื่อคนไข้เลือกที่จะฉีดฟิลเลอร์ ควรที่จะศึกษาหาวิธีการสังเกตฟิลเลอร์ของแท้ยี่ห้อต่างๆ ที่สำคัญคือ ก่อนฉีดฟิลเลอร์ควรให้หมอแกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดู และขอกล่องกลับบ้าน หรือถ่ายรูปเก็บไว้ตรวจสอบ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐานจะดีที่สุด
  4. ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีลักษณะโมเลกุลขนาดเล็ก มีความละเอียดที่เหมาะสมกับผิวหนังในบริเวณที่ต้องการฉีด เพราะถ้าฉีดฟิลเลอร์ชนิดที่มีความละเอียดของโมเลกุลขนาดใหญ่มากเกินไป จะไม่เหมาะกับผิวบริเวณที่ฉีด ส่งผลให้หนักและหน่วงผิว ทำให้ฟิลเลอร์เกิดการเคลื่อนที่ไปยังบริเวณอื่นบนใบหน้าได้ ซึ่งคนทั่วไปจะเรียกกันว่า “ฟิลเลอร์ไหล” ดังนั้นคนไข้ควรปรึกษากับแพทย์ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน รู้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมให้กับคนไข้ ก่อนที่คนไข้จะตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์

ผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์

คนไข้อาจจะมีอาการบวมแดง เขียวช้ำ หรือคันได้ในจุดที่ทำการฉีดฟิลเลอร์เป็นเรื่องปกติ แต่ให้หลีกเลี่ยงการแตะ การเกา หรือการกดนวดในจุดนั้นๆ อาการต่างๆจะค่อยๆดีขึ้นภายใน 2 – 3 วัน หาก 3 วันไปแล้วอาการไม่ดีขึ้น แนะนำให้พบแพทย์คลินิกที่ได้ทำการรักษา หากฟิลเลอร์ที่ฉีดนั้นเป็นฟิลเลอร์แท้จะไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย ไม่เกิดการไหลย้อย หรือฟิลเลอร์ที่ผิดรูป แต่อาการข้างเคียงที่เกิดจากเทคนิคของแพทย์ก็อาจจะเกิดขึ้นได้หากคนไข้ไม่ได้รับบริการจากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์

  1. ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ควรงดอาหารเสริมหรือยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน ยาแก้ปวดยากลุ่มต้านการอักเสบ NSAIDS ได้แก่ Ibuprofen, Naproxen, Aspirin เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการบวมน้ำหรืออาการรอยช้ำบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อยควรงด 2 สัปดาห์ก่อนมาฉีดฟิลเลอร์
  2. ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ควรงดวิตามินอาหารเสริมจำพวก วิตามินอี น้ำมันปลา ใบแปะก๊วย สารสกัดโสม ขิง กระเทียม เพราะจะส่งผลให้แผลช้ำง่ายและเลือดหยุดไหลช้าลง ควรงดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนมาฉีดฟิลเลอร์
  3. ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 – 2วัน ก่อนมาฉีดฟิลเลอร์
  4. ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ควรงดการทำกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น ซาวน่า ออกกำลังกาย Cardio อย่างน้อยเป็นเวลา 24ชั่วโมง ก่อนมาฉีดฟิลเลอร์
  5. ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ควรงดการทำเลเซอร์ในบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ อย่างน้อย 3 วัน และหลังทำการฉีดฟิลเลอร์ไปแล้วต้องงดการทำเลเซอร์ในบริเวณที่ฉีดไปอีก 2 อาทิตย์
  6. ก่อนการฉีดฟิลเลอร์คนไข้ต้องมีสุขภาพร่างกายอยู่ในสภาพปกติดี ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรง และไม่ได้อยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่
  7. หากเป็นไปได้ในวันที่เข้ามาทำการฉีดฟิลเลอร์ควรล้างเครื่องสำอางหรือทำความสะอาดใบหน้าก่อนมาพบแพทย์

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์

  1. แพทย์จะทำการประเมินใบหน้าและวางแผนแก้ปัญหาของแต่ละบุคคล รวมถึงตรวจดูบริเวณที่จะทำการฉีดฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขปัญหาบนใบหน้า อาจจะมีการทำเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์การฉีดฟิลเลอร์ในแต่ละจุดบนใบหน้า รวมถึงการถ่ายภาพใบหน้าบริเวณที่ทำ เพื่อให้เห็นผลการเปลี่ยนแปลงภายหลังการฉีดฟิลเลอร์
  2. ทำความสะอาดและใช้ยาระงับความรู้สึก ขึ้นตอนแรกแพทย์หรือพยาบาลจะใช้น้ำยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเช็ดทำความสะอาดบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ หากคนไข้มีการแต่งหน้ามาก่อนจะต้องทำการล้างเครื่องสำอางออกเพื่อป้องกันการติดเชื้อ จากนั้นจะใช้การทายาระงับความรู้สึกหรืออาจจะใช้อุปกรณ์ที่เย็นจัด เพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างทำการฉีดฟิลเลอร์
  3. ฉีดฟิลเลอร์ เมื่อแพทย์ได้ทำการประเมินใบหน้าของคนไข้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะใช้เวลาในการฉีดแต่ละเข็มเพียงไม่นาน หลังจากที่แพทย์ฉีดฟิลเลอร์เป็นที่เรียบร้อย แพทย์ก็จะทำการนวดบริเวณที่ฉีดและประเมินผลไปพร้อมๆกัน หรือในคนไข้บางรายอาจจะมีการเพิ่มปริมาณของฟิลเลอร์ตามที่แพทย์เห็นสมควร
  4. การทำความสะอาดแผล เมื่อแพทย์เห็นว่าผลลัพธ์ของการรักษาเป็นที่น่าพอใจแล้ว แพทย์จึงจะลบเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ที่ทำไว้ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ และอาจจะใช้น้ำแข็งประคบเพื่อลดอาการบวมและช่วยบรรเทาอาการที่อาจเกิดขึ้นกับคนไข้ ผิวหนังบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์อาจจะมีอาการฟกช้ำจากรอยเข็มที่ฉีดเข้าไปอยู่สัก 1 – 2 วัน แต่ก็จะไม่มีอาการเจ็บมาก และเมื่อคนไข้กลับไปพักฟื้นที่บ้านอาจใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่ทำการฉีดฟิลเลอร์มา โดยอาการจะดีขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมง หรือคนไข้บางรายอาจจะใช้เวลา 2 – 3 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ในระหว่างนี้คนไข้ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มร้อนๆ รวมถึงการเผชิญแสงแดด หากคนไข้รู้สึกไม่พอใจกับผลลัพธ์ในการฉีดหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ควรไปพบแพทย์ที่ทำการรักษาเพื่อให้ตรวจดูความผิดปกติที่เกิดขึ้น
  5. นัดติดตามผล หลังการฉีดฟิลเลอร์เสร็จแล้ว แพทย์จะทำการนัดคนไข้เข้ามาดูผลลัพธ์ว่าคนไข้พึงพอใจมากน้อยเพียงใด

ข้อปฎิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์

ทาง 44คลินิกได้ทำการรวบรวมข้อมูล เกี่ยวกับข้อปฏิบัติหลังการฉีดฟิลเลอร์
คนไข้สามารถศึกษาข้อมูล ผ่านบทความในหน้า
นี้ได้เลย

ฉีดสลายฟิลเลอร์ คืออะไร

การฉีดสลายฟิลเลอร์ สามารถทำได้หากหลังจากการฉีดฟิลเลอร์ไปแล้วพบว่ามีลักษณะบวม เป็นก้อนแข็ง กดไม่ลง ผิวไม่เรียบเนียน ขาดความมั่นใจ อันเกิดจากผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ การฉีดสารเพื่อสลายฟิลเลอร์เป็นการใช้เอ็นไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyarulonidase : HYALINE) เอ็นไซม์ตัวนี้มีคุณสมบัติช่วยลดการอุ้มน้ำของฟิลเลอร์ ไขมัน และสลายการยึดเกาะของเนื้อฟิลเลอร์กับผิว ช่วยปรับสมดุลให้ผิวบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ให้กลับมาเรียบเสมอกันเหมือนเดิม หรือใกล้เคียงมากที่สุด โดยฟิลเลอร์กลุ่ม Hyaluronic Acid (HA) จะถูกสลายไป แต่สามารถสลายได้เฉพาะฟิลเลอร์แท้ที่ทำมาจากกรดไฮยาลูรอนิค เอซิดเท่านั้น ไม่สามารถเห็นผลได้กับฟิลเลอร์กลุ่มอื่น เช่น ซิลิโคลน หรือ พาราฟิน ซึ่งมีผลเสียอย่างมากในระยะยาว แพทย์จะไม่แนะนำให้ฉีดเพราะไม่สามารถสลายเองตามธรรมชาติได้ หากต้องการเอาออกต้องทำการขูดเท่านั้น

ฉีดสลายฟิลเลอร์ กี่วันเห็นผล ?

การฉีดสลายฟิลเลอร์ในแต่ละจุดที่ไม่พึงประสงค์ หากเป็นปัญหาที่เกิดจาการฉีดฟิลเลอร์แท้ กลุ่ม Hyaluronic Acid (HA) จะสามารถฉีดสลายได้ด้วยเอ็นไซม์ไฮยาลูโรนิเดส โดยการฉีดสลายฟิลเลอร์นั้น จะทำการฉีด 1 – 3 ครั้ง ห่างกัน 1 สัปดาห์ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และตำแหน่งที่ฉีด ปริมาณฟิลเลอร์ที่มีปัญหา หากมีขนาดที่ใหญ่มากอาจจะต้องใช้ปริมาณการฉีดหลายครั้ง ฟิลเลอร์จึงจะสลายหมด การฉีดสลายฟิลเลอร์ สามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจนภายใน 72 ชั่วโมง หลังจากฉีดอาจจะมีอาการบวมเล็กน้อย แต่จะหายได้เองภายใน 7 วัน และแพทย์จะทำการนัดหมายคนไข้เข้ามาเพื่อดูผล ว่าหลังจากฉีดไปแล้วจะยุบไปหมดหรือไม่ หรือยังมีก้อนอยู่

ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี แต่ละยี่ห้ออยู่ได้นานแค่ไหน

เพราะฟิลเลอร์มีหลายแบรนด์และแต่ละแบรนด์มีหลายรุ่น จึงมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ก่อนจะเลือกฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ว่าเพราะอะไร ทำไมเราถึงควรใช้ฟิลเลอร์รุ่นนี้ในตำแหน่งนี้ หรือแม้แต่ตำแหน่งเดียวกัน ทำไมต้องใช้ฟิลเลอร์ต่างกันขึ้นอยู่กับอะไร ในเบื้องต้นต้องรู้ก่อนว่าบนใบหน้าของเรา มีจุดไหนบ้างที่ฟิลเลอร์สามารถแก้ปัญหาได้ มีทั้งหมด 7 จุดปัญหาบนใบหน้าที่ควรฉีดฟิลเลอร์

  1. ฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา รอยตีนกา ขอบตาดำ ใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา ใต้ตาหย่อนคล้อย เบ้าตาลึก
  2. ฟิลเลอร์คาง แก้ปัญหาคางสั้น คางตัด คางถอย คางบุ๋ม
  3. ฟิลเลอร์ร่องแก้ม แก้ปัญหาริ้วรอย ร่องแก้มลึก ความหย่อนคล้อยของผิวบริเวณร่องแก้ม
  4. ฟิลเลอร์ปาก แก้ปัญหามุมปากตก รูปปากที่ไม่ได้สัดส่วน ริมฝีปากบางเกินไป ริมฝีปากไม่เท่ากัน ร่องริมฝีปากลึก
  5. ฟิลเลอร์ขมับ แก้ปัญหาขมับตอบ ขมับยุบ โหนกแก้มสูง หน้าไม่ได้รูป
  6. ฟิลเลอร์หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากแคบ มีรอยยุบ รอยบุ๋ม ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก
  7. ฟิลเลอร์แก้มตอบ แก้ปัญหาหน้าแบน แก้มตอบ แก้มยุบ ไม่มีมิติ หน้าหย่อนคล้อย

แบรนด์ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองในประเทศไทย (อย.ไทย)

ในปัจจุบันก็มีฟิลเลอร์หลากหลายยี่ห้อ หลากหลายรุ่นด้วยกัน ราคาก็แตกต่างกันไป ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมและผ่านการรับรองในประเทศไทย ซึ่งก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป สำคัญคืออย่าลืมปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษาและเลือกให้เหมาะกับปัญหาที่จะแก้ไข

ฟิลเลอร์ที 44Clinic ของเราเลือกใช้ มีดังนี้

Juvederm Filler

  • Juvederm Voluma เป็นเนื้อเจลที่มีลักษณะแข็งและฟูปานกลาง มีความยืดหยุ่นสูง โมเลกุลขนาดใหญ่ มีความหนาแน่น คงตัว เรียบเนียน
  • Juvederm Volift เป็นเนื้อเจลที่มีลักษณะเนื้อนิ่มปานกลาง มีความละเอียด เรียบเนียน
  • Juvederm Volbella เป็นเนื้อเจลที่มีลักษณะเนื้อนิ่ม ให้ความเรียบเนียน
  • Juvederm Volux เป็นเนื้อเจลที่มีลักษณะเป็นเนื้อแข็ง มีความคงตัวสูง ขึ้นรูปได้ดี
  • Juvederm Ultra Plus XC เป็นเนื้อเจลที่มีลักษณะความหนาแน่นและความคงตัวสูง

Restylane Filler

  • Restylane Lyft เป็นฟิลเลอร์ที่มีความแน่น แข็ง หลังฉีดไม่ค่อยฟู แต่ให้ความคงรูปได้อย่างดี
  • Restylane Defyne เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับเติมแก้มส้ม ลิฟหน้า คางให้ละมุนเหมาะกับคนที่ผิวบาง
  • Restylane Vital Light โมเลกุลมีขนาดเล็ก มีความนิ่มที่สุด เหมาะสำหรับเติมผิวชั้นตื้น แก้ปัญหาริ้วรอยเพิ่มความฉ่ำวาว
  • Restylane Volyme ออกแบบมาเพื่อเติมเต็มใบหน้าให้อิ่มฟู ใช้สำหรับเติมเต็มส่วนที่ลึกหรือตอบลง
  • Restylane Refyne เป็นฟิลเลอร์มีเจลขนาดเล็กนิ่มและยืดหยุ่นสูงเหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยต่างๆเนื้อเจลกลืนกับผิวได้ดีให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
  • Restylane Lidocaine เนื้อเจลมีความแข็งปานกลาง ออกแบบมาเพื่อใช้ปรับมิติของใบหน้า นิยมใช้รักษาบริเวณ Midface เติมเต็ม แก้มส้ม ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก เติมริมฝีปากให้สวยอิ่ม หรือเต็มริ้วรอยตื้น-ลึก

Neuramis Filler

  • Neuramis Deep ฟิลเลอร์ตัวนี้เนื้อสัมผัสค่อนข้างเฟิร์ม เติมเพื่อเพิ่มวอลลุ่มได้ดี ฟิลเลอร์ตัวนี้ไม่ฟูมาก แต่สามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจน ราคาย่อมเยาว์

Yvorie Filler

  • Yvoire Volume Plus เป็นฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุขนาดใหญ่ มีความคงตัวสูง ขึ้นรูปได้ดี เหมาะสำหรับการเติมเต็มในชั้นลึก ขมับ ใต้ตา หน้าผาก แก้มตอบ คาง แก้มส้ม และริมฝีปาก
  • Yvoire Contour เป็นฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับการเติมคาง กรอบหน้า โหนกแก้ม และ ลิฟกรอบหน้า
  • Yvoire Classic Plus เป็นฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก เนื้อสัมผัสบางเบา มีความนิ่มที่สุด เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอย และล่องลึก

ฉีดฟิลเลอร์ที่ 44Clinicดีอย่างไร

  • 44Clinicเ ป็นคลินิกที่ได้มาตรฐานผ่านการจดทะเบียนถูกต้อง เลขที่ใบอนุญาต 13101007862
  • 44Clinic มีแพทย์ผู้เชียวชาญเฉพาะทางที่มีความชำนาญ
  • ใช้ยาแท้ที่มีคุณภาพผ่าน อย. มั่นใจได้ว่าปลอดภัย 100%
  • เราเลือกใช้อุปกรณ์เครื่องมือที่มีความสะอาด ได้มาตรฐาน มีการฆ่าเชื้ออยู่ตลอดเวลา
  • ให้คำแนะนำที่เป็นจริง ตรงไปตรงมา อย่างครบถ้วน
  • รับผิดชอบคนไข้ทุกคน มีการติดตามผลลัพธ์และรับประกันผลหลังการทำ
คลิกเพื่อดูรีวิว

อ่านบทความอื่น ๆ เกี่ยวกับฟิลเลอร์