กลูตาไธโอน (Glutathione)

          กลูตาไธโอน(Glutathione) คือสารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองได้ โดยมีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ประกอบไปด้วยกรดอะมิโนสำคัญ 3 ชนิด คือ ไกลซีน (Glycine) ซิสเตอีน (Cysteine) และกลูตาเมต(Glutamate) ทำหน้าที่ในการป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลายโดยกลูตาไธโอนถูกจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรงที่สุด พบได้ทั่วไปในเซลล์ของร่างกาย โดยจะพบได้บริเวณ สมอง ตับ ไต ปอดและม้าม และเมื่ออายุมากขึ้นปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายจะลดน้อยลง หรืออาจจะผลิตได้ช้าลง ซึ่งโดยปกติเมื่ออายุ 20 ปี ปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายจะลดลงเฉลี่ย 8 – 12% ต่อปี

กลูตาโธโอนเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้ร่างกายแข็งแรง กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และยังช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้อีกด้วย โดยมีหน้าที่สำคัญ 4 ประการคือ

  1. กลูตาไธโอนทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายโดยร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดขาวเพื่อสู้กับเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย และเซลล์มะเร็ง
  2. กลูตาไธโอนทำหน้าที่กำจัดสารพิษในร่างกาย โดยกำจัดออกทางไตหรือลำไส้ ซึ่งตับและไตเป็นอวัยวะที่มีสารพิษมากที่สุด กลูตาไธโอนจึงถูกผลิตออกมามากที่สุด และปอดก็ถูกค้นพบกลูตาไธโอนมากที่สุดเช่นกันเพราะปอดทำหน้าที่กำจัดของเสียเวลาหายใจเอาฝุ่นและควันพิษเข้าไปในปอดนั้นเอง
  3. กลูตาไธโอนทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์แรงที่สุดเพราะร่างกายสามารถผลิตขึ้นมาเองได้โดยธรรมชาติ ช่วยป้องกันให้เซลล์แข็งแรง ชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย ช่วยเรื่องระบบไหลเวียนของเลือด และยังช่วยรักษาการทำงานของหัวใจกับปอดได้ดี
ทักแชทหาแอดมิน
โทรด่วน

คุณสมบัติของกลูตาไธโอน (Glutathione)

  1. Antioxidation เป็นกลูตาไธโอนที่มีการถูกเปลี่ยนเป็นเอ็นไซม์มีปฎิกริยาเป็นสารต้านออกซิเดชั่น ที่มีความสำคัญของร่างกาย โดยจะทำงานร่วมกับ วิตามินซีและวิตามินอี โดยจะช่วยเรื่องการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย
  2. Detoxification เป็นกลูตาไธโอนที่ช่วยสร้างเอ็นไซม์ต่างๆในร่างกาย เช่น Glutathione-S-transferase ที่ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย โดยไปเปลี่ยนสารพิษที่ไม่ละลายน้ำ(แต่สามารถละลายในน้ำมันได้) เช่น สารระเหย ย่าฆ่าแมลง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับไม่ให้ถูกทำลายจากแอลกอฮอล์ สารพิษจากบุหรี่ และยาพาราเซตามอลที่ร่างกายเคยได้รับเกินขนาดได้อีกด้วย
  3. Immune Enhancer กลูตาไธโอนช่วยเพิ่มความสามารถในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรคของเม็ดเลือดขาวชนิด Neutrophils และเสริมการทำงานของเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดีมากขึ้น และนอกจากนี้ยังกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลากหลายชนิด ทำให้ร่างกายสามารถต่อต้านสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ทั้งนี้กลูตาไธโอนยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA ได้อีกด้วย

กลูตาไธโอนมีประโยชน์อย่างไร

  1. กลูตาไธโอน เป็นสารที่ช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่างๆ ที่มาช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย โดยจะเปลี่ยนสารพิษที่ไม่ละลายน้ำให้กลายเป็นสารละลายน้ำ ซึ่งง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย
  2. กลูตาไธโอนช่วยป้องกันไม่ให้ตับถูกทำลายจาก การรับประทานยาเกินขนาด แอลกอฮอล์ และสารจากบุหรี่
  3. กลูตาไธโอน ช่วยเร่งการดูดซึม วิตามินอี และซีในร่างกายให้สามารถดูดซึมและนำมาใช้ได้ดีขึ้น และเป็นสาร Antioxidant ที่สำคัญของร่างกาย
  4. กลูตาไธโอนออกฤทธิ์ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม
  5. กลูตาไธโอนช่วยสร้าง Protein Prostragladin มีส่วนช่วยในการซ่อมแซม DNA
  6. กลูตาไธโอนมีประโยชน์ในด้านความงาม โดยช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในเรื่องของการชะลอวัย ป้องกันการเกิดริ้วรอย
  7. กลูต้าไธโอนช่วยป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวกับภาวะเสื่อมของสมอง เช่น อัลไซเมอร์และพาร์กินสัน
  8. กลูตาไธโอนช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ที่เป็นสาเหตุของผิวหมองคล้ำ โดยจะเข้าไปควบคุมการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน ทำให้ฝ้า กระ ดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด
  9. กลูตาไธโอนช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวเพื่อป้องกัน เชื้อโรค ไวรัส และแบคทีเรีย

อาการและผลข้างเคียงของกลูตาไธโอน

          ไม่มีอันตรายเพราะกลูตาไธโอนนั้นถูกจัดอยู่ในหมวดของ GRAS หรือเป็นสารที่ผ่านการรับรองโดยองค์การอาหารและยาว่าปลอดภัย (FDA) แต่ถ้าคนไข้ฉีดในปริมาณที่ไม่เหมาะสมก็อาจจะทำให้เกิดผลตามมาได้ เช่น ผิวหนังแดง ความดันโลหิตต่ำ หอบหืด และมึนศีรษะคล้ายจะเป็นลม ดังนั้นการฉีดเข้าหลอดเลือดต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์หรือพยาบาลเท่านั้น เพื่อความปลอดภัย

ข้อควรระวังสำหรับกลูตาไธโอน

  • ไม่แนะนำให้ใช้กลูตาไธโอนในขณะเดียวกับที่ให้สารสะลายชนิดอื่น ๆ โดยไม่อยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • ไม่แนะนำให้ใช้กลูตาไธโอนเมื่อผู้เข้ารับบริการมีการให้ยาเคมีบำบัดเพื่อรักษาโรคมะเร็ง เนื่องจากกลูตาไธโอนจะเข้าไปเพิ่มความสามารถในการขจัดสารพิษของตับซึ่งอาจเป็นผลให้ประสิทธิภาพในการใช้เคมีบำบัดลดน้อยลง
  • ไม่แนะนำให้ใช้กลูตาไธโอนกับกลุ่มสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร เพราะอาจจะเกิดผลข้างเคียงได้
  • ไม่แนะนำให้ใช้กลูตาไธโอนชนิดนี้แก่เด็ก (ยกเว้นกรณีที่อยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ)
  • ไม่แนะนำให้ใช้กลูตาไธโอนในปริมาณที่มากเกินไป ควรระมัดระวังในการใช้โดยควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการใช้ทุกครั้ง

สรุป

กลูตาไธโอนเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายและมีความสำคัญต่อระบบเซลล์ในร่างกาย แต่กลูตาไธโอนไม่สามารถอยู่ในร่างกายของเราได้ตลอดไป เพราะเมื่ออายุมากขึ้นปริมาณกลูตาไธโอนที่อยู่ในร่างกายก็จะลดน้อยลง ด้วยปัจจัยหลายอย่าง เช่น แสงแดด ความเครียด แอลกอฮอล์ ควันบุหรี่และมลภาวะทางอากาศ ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีการคิดค้นกลูตาไธโอนในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริมแบบรับประทาน หรือแม้กระทั่งการฉีดสารกลูตาไธโอนเข้าสู่ร่างกายเพื่อชดเชยในส่วนที่ร่างกายผลิตได้น้อยลง นอกจากนั้นในทางการแพทย์ยังมีการนำกลูตาไธโอนมาฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่อให้เอนไซม์ในกลูตาไธโอนขับสารพิษออกจากร่างกาย ใช้ในการรักษามะเร็ง อีกทั้งในด้านของการเสริมความงามนำกลูตาไธโอนมาฉีดเพื่อปรับให้ผิวพรรณสว่างกระจ่างใสอีกด้วย ทั้งนี้คนไข้ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนเลือกการรักษาด้วยกลูตาไธโอนเพื่อความปลอดภัยของตัวคนไข้เอง

ปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
error: Content is protected !!