มาทำความรู้จักกับไหมแต่ละชนิด

“การร้อยไหม” เป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมในปัจจุบัน เนื่องจากหลังจากที่ร้อยไหมแล้ว คนไข้จะสามารถเห็นผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงได้ทันที นอกจากนั้นวงการแพทย์เสริมความงามยังได้มีการพัฒนาเส้นไหมมาใช้แก้ปัญหาเฉพาะจุด ซึ่งไหมที่ใช้ในแต่ละจุดก็จะมีความแตกต่างกันไป ดังนั้นในบทความนี้เราจึงจะมาพูดถึงความแตกต่างของไหมแต่ละชนิด เพื่อให้คนไข้ได้ศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกเข้ารับบริการร้อยไหม

ไหมมีกี่ชนิด

ไหมที่ใช้ในการร้อยไหมจะใช้เป็นไหมละลายซึ่งมีความปลอดภัยในการนำมาใช้ เนื่องจากเมื่อครบระยะเวลาในการออกฤทธิ์จะสามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ มีอยู่ด้วยกันมากมายหลากหลายชนิด ซึ่งเส้นไหมที่เป็นที่นิยมในการนำมาใช้นั้น มีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด ได้แก่

1. PDO หรือ Polydioxanone
เป็นเส้นไหมสังเคราะห์ ที่มีความยืดหยุ่นในระดับกลาง มีความนิ่ม และไม่สามารถเกิดการเปราะหักได้ เป็นไหมชนิดที่นิยมในการนำมาร้อยไหมที่สุด ซึ่งมีระยะเวลาในการออกฤทธิ์ได้นาน 6 – 8 เดือน ซึ่งไหม PDO  ยังสามารถจำแนกออกมาได้อีกตามลักษณะพิเศษของเส้นไหม ดังนี้

“Mono Threads (ไหมเรียบ)”

ซึ่งมีลักษณะเฉพาะเป็นเส้นเรียบ ซึ่งไหมชนิดนี้มักจะนิยมนำมาร้อยเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน บนชั้นผิวที่ตื้น ช่วยคืนความเต่งตึงให้สู่ผิว

“Screw Threads
(ไหมเกลียว)”

มีลักษณะเป็นเส้นเกลียว 1 เส้น หรือพันกันสองเส้น ซึ่งไหมชนิดนี้จะให้ความแข็งแรงมากกว่าชนิดแรก นิยมนำมาใช้เพื่อยกกระชับผิว เติมเต็มบริเวณผิวช่วงที่ยุบเป็นแอ่ง ทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียนเต่งตึงได้อีกครั้ง

“Barbed Threads (Cog Threads)”

หรือเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ “ไหมเงี่ยง” ลักษณะของไหมชนิดนี้จะเป็นเส้นคล้ายกับ  ก้างปลา ซึ่งในผลลัพธ์ที่ดีในการนำมาใช้ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ลดเหนียง และปรับรูปหน้าให้เรียวสวยเป็น V – Shape

2. PLLA หรือ Poly L- Lactic Acid

ไหมชนิดนี้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับไหมเงี่ยง หรือ ก้างปลา เพียงแต่คุณภาพของเส้นไหมมีความแตกต่างจาก ไหม PDO โดยที่ไหม PLLA จะมีความมยืดหยุ่นน้อยกว่า และมีความแข็ง เปราะง่าย

3. PCL หรือ Polycaprolactone

เส้นไหมชนิดนี้จะมีลักษณะเป็นไหมเงี่ยง ซึ่งไหม PCL ผลิตขึ้นมาเป็นไหม Molding หรือ ไหมปากฉลาม ซึ่งมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะมากกว่า ไหมก้างปลาทั่วๆ ไป เส้นไหมจะใหญ่กว่าและสามารถแก้ไขปัญหาความหย่อยคล้อยได้มากกว่า

4. PGA หรือ Polyglycolic Acid

เส้นไหมชนิดนี้ จะถูกผลิตขึ้นมาในรูปแบบของไหม Silhouette Soft หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ไหมกรวย” ซึ่งมีลักษณะเป็นปมตามเส้นไหมจะมีลักษณะเป็นกรวยเล็กๆ ช่วยยกกระชับได้ดีมากกว่ากระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และมีระยะเวลาการออกฤทธิ์ที่ยาวนาน 1 – 3 ปี แต่เนื่องด้วยไหมชนิดนี้ ใช้เวลาในการร้อยไหมที่ค่อนข้างนาน อีกทั้งยังทำให้เกิดการปวดและบวมภายหลังการรักษา จึงทำให้ไม่เป็นที่นิยมในการนำมารักษา

ไหมแต่ละชนิดเหมาะกับบริเวณใดบ้าง

ไหมแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของลักษณะวัสดุที่ใช้ และระยะเวลาในการออกฤทธิ์ จึงต้องนำไปใช้ในบริเวณที่แตกต่างกันออกไปตามอาการที่ต้องการรักษา ซึ่งบริเวณที่เหมาะกับเส้นไหมในแต่ละชนิด สามารถจำแนกออกได้ ดังนี้

  1. ไหมเงี่ยง หรือ Barbed Threads , Cog Threads ไหมชนิดนี้เหมาะแก่การนำมาใช้รักษาบริเวณกรอบหน้า ปลายจมูก หางตา และเหนียง เนื่องจากไหมชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการยกกระชับได้เป็นอย่างดี จึงนิยมนำมาใช้กับการยกกระชับ  ปรับโครงหน้า ทำให้ใบหน้ามีสัดส่วน
  2. ไหมเรียบ หรือ Mono Threads ไหมชนิดนี้เหมาะแก่การนำมาใช้บริเวณใบหน้า เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยบนชั้นผิว นอกจากนั้นยังสามารถใช้เพื่อยกกระชับบริเวณสันจมูกให้ดูชัดขึ้น หรือปรับโครงสร้างสันจมูกให้ดูตรงได้สัดส่วนมากยิ่งขึ้น

ไหมแต่ละชนิดช่วยเรื่องอะไร

ไหมแต่ละชนิดจะมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ร้อยไหมและไหมที่เลือกใช้ สามารถจำแนกได้ดังนั้น

  1. ไหมเงี่ยง หากร้อยเข้าไปที่บริเวณกรอบหน้า หรือเหนียงที่มีความหย่อนคล้อย จะช่วยทำให้ผิวหนังมีการยกกระชับและได้สัดส่วนมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นหากร้อยที่บริเวณปลายจมูก จะช่วยทำให้ปลายจมูกดูเชิดขึ้น สร้างมิติให้กับปลายจมูก หรือหากร้อยที่บริเวณหางตา จะช่วยยกหางตาให้ดูเฉี่ยว ทำให้ชั้นตาชัดขึ้น คิ้วดูยกขึ้น ทำให้ใบหน้าดูคมได้สัดส่วน
  2. ไหมเรียบ หากร้อยไหมเรียบเข้าสู่บริเวณผิวชั้นบนของใบหน้า จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเนื้อเยื่อบริเวณที่มีเส้นไหม ทำให้ผิวหน้าดูเต่งตึง กระชับ ฟื้นฟูผิว คืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้า และหากร้อยเข้าที่บริเวณสันจมูก จะช่วยเพิ่มมิติให้สันจมูกดูชัดและโด่งขึ้น เป็นการปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนมากยิ่งขึ้น

ไหมที่ 44 คลินิก เลือกใช้

44Clinic เป็นคลินิกที่ใส่ใจกับการรักษาคนไข้ ต้องการให้คนไข้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดังนั้น ทางคลินิกจึงเลือกใช้เฉพาะเส้นไหมที่มีคุณภาพและได้รับการรับรองจากองค์กรต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อความปลอดภัยในการทำการรักษา ซึ่งไหมที่ 44Clinic เลือกใช้ ได้แก่

  • ไหมเงี่ยง PDO โดยจะแบ่งตามลักษณะและบริเวณที่ใช้ในการร้อยไหม คือ
  1. ไหมก้างปลา ใช้สำหรับยกกระชับใบหน้า และสร้างกรอบหน้าที่ชัดเจน
  2. ไหมก้างปลา Tess Lift Soft ซึ่งเป็นไหมนวัตกรรมจากเกาหลีให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา ยกกระชับใบหน้าและเหนียงได้อย่างชัดเจน และล็อกผิวที่หย่อนคล้อยให้ตึงกระชับสร้างมิติให้กับใบหน้า เพื่อให้ใบหน้าเรียวสวยดูเป็น V – Shape อย่างชัดเจน
  3. ไหมก้างปลา Hi – Rhino ใช้สำหรับยกปลายจมูกโดยเฉพาะ ช่วยปรับปลายจมูกให้ดูโด่งและมีมิติมากยิ่งขึ้น ช่วยเสริมความมั่นใจให้กับคนไข้
  • ไหมเรียบ PDO ใช้สำหรับการยกกระชับผิวหนังชั้นบนที่มีริ้วรอย หรือความหย่อนคล้อยเล็กน้อย ช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจน ฟื้นฟูให้ผิวกลับมาแลดูอ่อนเยาว์อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวดูมีสุขภาพดีอีกด้วย

สรุป

การร้อยไหมเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยแก้ไขปัญหาของใบหน้าที่หย่อนคล้อย ไม่กระชับและปรับรูปหน้าให้มีมิติแลดูสมส่วนมากยิ่งขึ้น โดยที่ไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรมและให้ผลลัพธ์ของความแตกต่างทันทีหลังจากที่ทำ และจะให้ผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพสูงสุดภายใน 1 เดือน มีความปลอดภัยเนื่องจากเป็นไหมชนิดละลายได้ เมื่อครบระยะการออกฤทธิ์ก็จะสลายหายไปได้เอง ไม่ทิ้งการตกค้าง เป็นทางที่เหมาะสำหรับบุคคลที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องเจ็บแผลจากการผ่าตัด

error: Content is protected !!